รักษาหลุมสิว ด้วยนวัตกรรมใหม่ หน้าไม่พัง อัปเดต 2022

นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ รักษาหลุมสิวกวนใจให้ตื้นขึ้น ปัญหาหลุมสิว ผิวเสมือนดวงจันทร์ สามารถเป็นได้ทุกวัย รักษาหลุมสิวให้หายได้ เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ การันตีด้วยรีวิวจากผู้รักษาจริง

วันนี้ The Touch Clinic จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งปัญหาหลุมสิว ที่รักษาให้หายยากมากๆ นั่นก็คือปัญหาของการเป็นหลุมสิวนั่นเอง แต่ก่อนที่จะเริ่มรักษา เรามาศึกษาการเกิดหลุมสิวกันก่อนค่ะ เพื่อทราบถึงต้นตอปัญหาและหาวิธีรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้ผิวฟื้นฟูกลับมาเรียบเนียนดังเดิม ถ้าพร้อมแล้วเรามาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันค่ะ

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับการเสื่อมสภาพของผิวหนังกันค่ะ การเสื่อมของผิวคนเราจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น สาเหตุคือ การเสื่อมจากปัจจัยภายในร่างกาย และการเสื่อมจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งในเซลล์ผิวหนังของคนเราจะมี คอลลาเจน, อีลาสติน, ไฮยาลูโรนิค-แอซิด ที่สร้างสารประกอบภายในผิวหนัง เป็นตัวละครสำคัญในการฟื้นฟูผิว ให้ผิวของเราสุขภาพดี เรียบเนียน แต่เมื่อเราอายุเพิ่มมากขึ้น เซลล์ผิวหนังจะมีอายุขัยที่สั้นลงทำให้ เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ที่มีหน้าที่ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น แข็งแรง และทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของผิว หรือเปรียบง่ายๆ เหมือนกับ เสาอาคาร เปราะบางไม่แข็งแรงเหมือนเดิม

ดังนั้น เมื่อการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ส่งผลให้ประสบปัญหาผิวต่างๆ รวมถึงการฟื้นฟูสภาพผิวของบาดแผลบริเวณผิวหน้า ที่มาจาก สิวอักเสบ ที่ได้รับการรักษาที่ผิดวิธี เช่น การกด บีบ แคะ แกะเกา ซึ่งการฟื้นฟูของแผลจะช้ากว่าคนเป็นวัยรุ่นถึงเท่าตัวเลยทีเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่า วัยรุ่นจะไม่ประสบปัญหานี้นะคะ อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจไปค่ะ เพราะปัญหาสิว 70% จะเกิดในช่วงวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนไม่สมดุล  ปัจจัยอื่นๆ สภาพแวดล้อม อาหารการกิน การใช้ชีวิตประจำวัน พฤติกรรม ล้วนเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว เริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมคะ ว่าสิ่งที่กล่าวข้างต้นนั้น เกี่ยวข้องอะไรกับการเกิดหลุมสิว? เพราะเมื่อผิวหนังของเราเริ่มเสื่อมจากหลายๆ ปัจจัย จะทำให้ผิวหนังชั้นบนบางตัวลง และยุบตัว ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน สาเหตุมาทั้งการเสื่อมสภาพของผิวที่มาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ปัญหาจากสิวและลุกลามจนเกิดหลุมสิว แผลจากการประสบอุบัติเหตุ หรือสาเหตุอื่นๆ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน เพราะฉะนั้น ปัญหาของหลุมสิวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัยค่ะ ไม่ว่าจะอยู่ช่วงอายุไหน ก็เป็นได้ถ้าเราไม่รู้จักวิธีการดูแลรักษา

ขั้นตอนหรือการดูแลตัวเองในระหว่างรักษาสิว

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยาบางชนิด กลุ่มสเตียรอยด์ ยากันชัก ยารักษาวัณโรค ยาลิเทียม ยาคุมกำเนิด เพราะจะทำให้เกิดสิวอุดตัน สิวอักเสบได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน เพราะจะทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผมของ Tree Tea Oil ที่ช่วยควบคุมความมัน และลดการเกิดไขมัน
  • งดการแต่งหน้า เครื่องสำอางที่หนักผิวจนเกินไป เน้นการปกปิด จนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน หรือใช้ผิดกับสภาพผิว จนเกิดอาการแพ้ ผิวลอก หน้าแห้ง เป็นผื่นขึ้นได้
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ Whithening เพราะจะทำให้ผิวไวต่อแสง ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ ที่ให้ความชุ่มชื้น ป้องกันปัญหาผิวแห้ง เลือกใช้ผลิตภัณ์ Non-Comedogenic หรือไม่ทำให้เกิดสิวอุดตัน
  • ระวังพฤติกรรมที่ทำให้ระคายเคืองผิว เช่น การขัดหน้าที่แรงจนเกินไป นวดหน้า  บีบสิวแบบผิดวิธี รวมทั้งการล้างหน้าที่ไม่สะอาด ชอบจับใบหน้า แกะ แคะ เกา เป็นต้น
  • สภาวะแวดล้อมต่างๆ ฝุ่น มลภาวะ สิ่งสกปรกที่เรามองไม่เห็น ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
  • พฤติกรรมการกิน เช่น การกินที่ไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตออกมามากเกินปกติ เช่น ของหวาน ของที่ไขมันสูง กินจำพวกแป้งมากเกินพอดี
  • ทาครีมกันแดดอย่างเป็นประจำ  หลีกเลี่ยงการเจอแสงแดดแรงๆ ที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง และเกิดปัญหาผิวอื่นๆ ตามมา
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในร่างกายของคนเราโดยตรง อีกทั้งยังทำลายสารอาหารอย่างวิตามินซีที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่มีความจำเป็นในการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติ
  • รับประทานวิตามินซี(Vitamin C) สังกะสี (Zn) ตามที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันจะช่วยให้รอยแผลหายไวขึ้น แต่ในทางกลับกัน การรับวิตามินมากเกินกว่าที่ร่างกายควรได้รับ ไม่ช่วยให้แผลหายไวขึ้น

Atrophic Scars ปัญหาหลุมสิวเป็นหนึ่งปัญหาที่ชวนกลุ้มใจ ของผู้ที่ประสบปัญหาสิวเรื้อรังจนลุกลามกลายเป็นหลุมสิวที่รักษาไม่หาย และใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน และรักษายากเมื่อเทียบกับปัญหาผิวอื่นๆ เพราะว่า คอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรานั้นถูกทำร้ายถึงชั้นลึก จนสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ไหว ทำให้ผิวเป็นรอยหลุมไม่เรียบเนียน การรักษาหลุมสิวเลยต้องมีการกระตุ้น เพื่อเรียกคอลลาเจนให้เนื้อเยื่อกลับขึ้นมาดังเดิม ให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น และกลับมาเรียบเนียนในที่สุด หากเราปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นเฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยก็อาจทำให้หลุมสิวร้ายแรงขึ้นได้ค่ะ

วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับปัญหาของการเป็นหลุมสิวตัวฉกาจ ที่สร้างรอยแผลหลุมลึกไม่ใช่เพียงแต่บนใบหน้าของเรา แต่รวมไปถึงแผลของสภาพจิตใจ ที่ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจไปกันค่ะ พร้อมแนะนำวิธีรักษาที่จะช่วยให้หายไว ร่นระยะเวลาให้การฟื้นฟู อีกทั้งยังอ่อนโยนต่อผิว ไม่ระคายเคือง คืนผิวเรียบเนียนสุขภาพดี และคืนความมั่นใจให้กับเราทุกคนกันค่ะ

หลุมสิวเกิดจากอะไร?

ปัญหาหลุมสิว มาจากการสมานแผลไม่สมบูรณ์ ผิวไม่เรียบเนียน ความตึง-การหดรั้งบริเวณแผล จนเกิดเป็นหลุมสิว หลักๆ จะมาจากผู้ที่มีปัญหาสิวแล้วเกิดหลุมสิวต่อ 80-90% สาเหตุมาจากสิว ที่ได้รับการรักษาช้า หรือรักษาที่ผิด เช่น การกดสิว บีบสิว ที่ไม่ถูกวิธี ทำให้ไปกระตุ้น หรือทำร้ายผิวกว่าเดิม จนเกิดการระคายเคือง ลุกลามกัดกินเนื้อผิวหนัง รวมทั้งคนที่มีสภาพผิวรูขุมขนกว้าง หน้ามันจนเกิดการอุดตัน และกลายเป็นสิวอักเสบ ซึ่งลักษณะของสิวที่สามารถกลายเป็นหลุมสิวได้มีดังลักษณะดังนี้

  • สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ (Cyst) ที่มีหนองปนเลือดอยู่ภายในหัวสิว เป็นถุงสิว เป็นสิวที่มีระดับรุนแรงที่สุด มีขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นตุ่มและไตสีแดงที่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันที่จับตัวรวมกันภายใต้ชั้นผิวหนัง บวมแดงนูนขึ้นมา ขั้นแรกอาจจะเป็นสิวไม่มีหัว แต่จะมีอาการปวดและเจ็บผิวหน้าเล็กน้อยร่วมด้วย สิวหัวช้างถือว่าเป็นสิวอักเสบที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง หากปล่อยเอาไว้นานจะมีโอกาสทำให้เกิดแผลลึก หรืออาจพัฒนาเป็นฝีได้
  • สิวอักเสบตุ่มหนอง สิวอักเสบรุนแรง (Pustule) หรือสิวหัวหนอง  มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและปวด ข้างบนตุ่มมีหัวหนองสีเหลือง เป็นสิวที่มีอาการอักเสบมากกว่าสิวอักเสบชนิด Papule หรืออาจเกิดจากสิวมีการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นแทรกซ้อน
  • สิวอักเสบลึกลงไปเป็นก้อนบวม สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว (Nodule)  เป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง มีอาการเจ็บปวดค่อนข้างมาก สาเหตุมักเกิดจากเป็นสิวอักเสบชนิด Papule แล้วมีการกดบีบสิว ทำให้แบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้สิวยิ่งอักเสบบวมแดง

หลุมสิวมีแบบไหนบ้าง?

หลุมสิวแบ่งออกเป็น 3 ระดับ กับอีก 1 ประเภท ด้วยกัน (Acne Scar Subtypes)

  • ระดับเริ่มต้น Rolling Scar 

ระดับนี้สามารถรักษาให้หายได้ง่ายสุด ระดับความลึกของหลุมสิวตื้น ปากแผลกว้างประมาณ 4-5 มิลลิเมตร ก้นแผลคล้ายกับก้นกระทะ ทำให้บริเวณผิวหนังที่เป็นรอยแผลเป็นเหมือนคลื่น เกิดจากการที่ชอบแกะเกา จนผิวเกิดการระคายเคืองจนเป็นแผล และกลายเป็นหลุมสิว

หากรักษาด้วยโปรแกรม Baby New Face 3-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับบริเวณกว้างของพื้นที่สิว จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

  • ระดับปานกลาง Box Scar

ระดับนี้ใช้ระยะเวลารักษานานกว่า Rolling Scar ปากหลุม กับก้นแผล มีความกว้างเท่าๆ กัน ระดับความลึกอยู่ที่ชั้นผิว ไม่ลงไปลึกถึงรูขุมขน ขอบแผลชัดเจน กว้างกว่าระดับ Lce Pick Scar แต่ตื้นกว่า ขอบแผลจะกว้างประมาณ 1-4 มิลลิเมตร ความลึกของหลุมแผลประมาณ 0.1-0.5 มิลลิเมตร ขอบหลุมชัดและชัด เกิดจากการเป็นสิว รวมถึงการเป็นอีสุกอีใส

หากรักษาด้วยโปรแกรม Baby New Face 3-5 ครั้งและฉีด face cell ตรงหลุมสิว จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

  • ระดับรุนแรง Ice Pick Scar

รักษายากสุด มักจะพบบริเวณแถวแก้ม ขอบแผลไม่เรียบ(Jagged edge) ก้นของแผลจะแหลมคล้ายกรวย ขอบแผลจะกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร ถึงแม้ว่าขอบแผลจะไม่ได้กว้างกว่าระดับอื่น แต่ความลึกของแผลนั้นลุกถึงหนังกำพร้า ถึงเนื้อเยื้อชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้การรักษานั้นใช้ระยะเวลา และค่อนข้างยาก กว่าชั้นผิวจะทำการซ่อมแซมให้ตื้นขึ้น

หากรักษาด้วยโปรแกรม Baby New Face 5-7 ครั้งและฉีด Growth Fater จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

  • คีลอยด์ Hypertrophic Scar (Keloid) 

อีกหนึ่งปัญหาผิวไม่เรียบเนียน นอกจากหลุมสิวแล้ว Keloid เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่รักษายาก แผลเป็นคีลอยด์มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อบนชั้นผิวหนังที่ผลิตคอลลาเจนขึ้นมาสมานบาดแผลมากเกินไป ทำให้เกิดก้อนเนื้อนูน

ไม่แนะนำให้ทำ แต่สามารถเข้ามาปรึกษากับคุณหมอเพื่อหาวิธีรักษาที่ตรงจุด

ทำอย่างไรให้หลุมสิวกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม

การที่ผิวของเราจะเกิดหลุมสิว สาเหตุหลักๆ เลยมาจากการเป็นสิวที่ได้รับการรักษาที่ผิดวิธี หรือรับการรักษาช้า จนกลายเป็นสิวอักเสบ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่เสริมให้เรารักษาสิวไม่หาย และการดูแลรักษาหลังจากสิวหายที่ผิด จนกลายเป็นหลุมสิว ซึ่งเปรียบเสมือนการรดน้ำต้นไม้ เมื่อเราขาดการดูแล ดูแลผิดวิธีจนต้นไม้เหี่ยวเฉา แต่เมื่อเราเริ่มดูแลรักษาต้นไม้ที่ดี ถูกวิธีจนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว แต่เมื่อใหร่ที่เราลืมการดูแลปรนนิบัตเหมือนเคย ต้นไม้ก็กลับมาแห้งเหี่ยว และเฉาดังเดิม ได้เช่นกันค่ะ 

รักษาด้วยตัวเอง

รักษาด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นการรักษาด้วยสมุนไฟรแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน หมดกังวลเรื่องการระคายเคืองผิวจากสารเคมี แต่อาจใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูผิวค่อนข้างนานค่ะ

ใบบัวบก มี สารไกลโคไซด์ (Glucosides) มีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ใช้รักษารอยแผล หรือหลุมสิวให้ตื้นขึ้น

วิธีการทำ  ใช้ใบบัวบกประมาณ 1 กำมือ นำมาคั้นหรือบด เสร็จแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จะใช้แบบแยกน้ำ หรือใช้ทั้งก้านพอกหน้าก็ได้เลยค่ะ

ว่านหางจระเข้ มี สารอะลอคตินเอ (Aloctin A) สารตัวนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ช่วยให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นขึ้น ช่วยป้องกันการอักเสบของผิว สมานแผลได้ดี กระชับรูขุมขน และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น เมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

วิธีการทำ นำว่างหางจระเข้มาล้างน้ำ แช่ไว้ประมาณ 10-15 นาที ให้ยางเหลืองออกจนหมด ก่อนนำไปปลอกเปลือกและล้างน้ำซ้ำอีกครั้งให้สะอาด นำวุ้นใสมาพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออก สามารถทำได้ทุกวัน

มะละกอสุก มีเอนไซม์ เอนไซม์ปาเปน (Enzyme Papain) และ โคโมปาเปน (Chymopapain) มีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ ยังกระตุ้นการสมานแผล โดยออกฤทธิ์ช่วยย่อยสลายคอลลาเจนให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะนำไปใช้ในการสร้างเซลล์ใหม่ได้เร็วขึ้น

วิธีการทำ นำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าประมาณ 10-15 นาที และล้างออก สามารถทำได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

น้ำมะพร้าวสกัดเย็น มี กรดลอริก (Lauric acid) ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยให้รอยหลุมสิวอ่อนนุ่มและจางลงได้ด้วย สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ปัญหารอยหลุมสิวค่อย ๆ ดีขึ้น

วิธีการทำ ทุกครั้งหลังจากล้างหน้าก่อนนอน ให้ทาน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นให้ทั่วใบหน้าโดยไม่ต้องล้างออก

หอมแดง และน้ำมะนาว เพราะหอมแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยฟื้นฟูรอยหลุมสิว ในขณะที่น้ำมะนาวมีกรด AHA จากธรรมชาติสูง โดยจะช่วยรักษารอยสิว และแก้ปัญหารอยหลุมสิวให้ดีขึ้นได้

วิธีการทำ นำหอมแดงมาฝานให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาแปะไว้ที่รอยหลุมสิวทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จึงล้างออก ถ้าอยากให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้นอย่างรวดเร็วก็ควรทำเป็นประจำ 2-3 วันต่อสัปดาห์ หรือสับละเอียดจนมีน้ำมันหอมระเหยออกมา บีบน้ำมะนาวหยดลงไปเล็กน้อย  แล้วนำมาทาลงบนรอยหลุมสิว ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด แนะนำให้พอกด้วยสูตรนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

ซึ่งทุกวิธีที่แนะนำมาข้างต้น เป็นการรักษาแบบวิธีธรรมชาติ ต้องอาศัยความสม่ำเสมอ ดูแลตัวเองอย่างเป็นประจำ และขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูของสภาพผิวแต่ละบุคคล นอกจากนี้ยังมีคนเข้าใจผิดว่า เบคกิ้งโซดา ยาสีฟัน  นำมารักษาสิวได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด นอกจากจะรักษาสิวไม่หายแล้ว ยังทำให้ผิวระคายเคืองอีกด้วย เพราะ เบคกิ้งโซดา และ ยาสีฟัน  มีความเป็นด่างที่สูงมาก สามารถไปทำลายความสมดุลของค่า pH บนผิวหนังได้ นอกจากสิวไม่หายแล้ว ผิวของเราก็จะถูกทำร้ายจนอ่อนแอ และบางลงเรื่อยๆ

แต้มกรด TCA (Trichloroacetic Acid) มีฤทธิ์ในการกัดกร่อน ลอกชั้นเซลล์ผิวหนัง เร่งผิวให้เกิดการแบ่งตัวเร็วขึ้น ตัวกรดจะกัดลงไปในผิว ส่งผลให้ผิวเกิดบาดแผล จึงช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนหลุมสิว หลุมสิวจะตื้นขึ้น หลังจากแต้มน้ำยาให้จะเกิดสะเก็ดสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ซึ่งใช้เวลา 3-7 วัน สะเก็ดจะหลุดลอกออกเองตามธรรมชาติ ไม่ควรแกะออกเอง ความเข้มข้นของกรด TCA จะมีตั้งแต่ 10% จนถึง 100% โดยความแรงของกรดจะอันตรายและกัดผิวแรงขึ้นตาม % หากรักษาหลุมสิว อาจใช้แรงกว่าการรักษาสิวอักเสบ แต่ไม่ควรเกิน 50% และการแต้มสิวด้วยกรด TCA ควรทำเพียงแค่เดือนละครั้งเท่านั้น

  • ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ : ประมาณ  3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่การฟื้นฟูสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ข้อเสียและอันตราย : ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการแต้มสิว หากไม่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญ ควรให้แพทย์ผิวหนังทำการแต้มสิวให้ อย่าทำเองหรือคนอื่นที่ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำโดยเด็ดขาด

ทายาด้วยกรด AHA / PHA / BHA รักษาหลุมสิว กรดทั้ง 3 ชนิดนี้ มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวด้านบนออก และซ่อมแซมผิวให้หลุมสิวตื้นขึ้น แต่ละชนิด มีความเหมือน และแตกต่างกันเล็กน้อย

  1. AHA (alpha hydroxy acid) เรามักคุ้นชื่อนี้เป็นอย่างดี ได้ยินหรือเห็นผ่านตามากันบ้าง ช่วยผลัดให้ผิวชั้นนอกหลุดออก
  2. PHA (poly hydroxy acid) เป็นกรดผลไม้ชนิดหนี่งที่มีการปรับโมเลกุลใหม่ขนาดใหญ่ขึ้น ซึมลงสู่ผิวชั้นล่างลดลง ทำให้ระคายเคืองลดลง มีผลเพิ่มความกระจ่างใสมากขึ้น
  3. BHA (Beta hydroxy acids) คุณสมบัติละลายในไขมันได้ดี ดูดซึมต่อมไขมันได้ซึ่งอาจจะช่วยลดการอุดตันได้ ข้อควรระวังคือ BHA มีโอกาสการระคายเคืองได้สูง เมื่อเทียบในหมู่กรดผลไม้ด้วยกัน
  • ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ : ประมาณ 6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่การฟื้นฟูสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ข้อเสียและอันตราย : การใช้กรด หรือครีมที่ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดด เพราะเกิดการลอก ควรทาครีมกันแดดร่วมด้วยอย่างเป็นประจำ และไม่ควรทาบ่อยจนเกินไป จะทำให้ผิวบาง จนเกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย

กรดวิตามินเอ การรักษาคล้ายกับการแต้มกรด TCA แต่สามารถทาได้บ่อยกว่า ความเข้มข้นน้อยกว่า เหมาะสำหรับคนที่กลัวการเป็นสะเก็ดและไม่รีบร้อนในการรักษา ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หลุมสิวจะตื้นขึ้น

  • ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ : ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่การฟื้นฟูสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ข้อเสียและอันตราย : การใช้กรด หรือครีมที่ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดด เพราะเกิดการลอก ควรทาครีมกันแดดร่วมด้วยอย่างเป็นประจำ และไม่ควรทาบ่อยจนเกินไป จะทำให้ผิวบาง จนเกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย

ครีมลดรอยแผลเป็น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Vitamin E / AHA / BHA จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ให้หลุมดูตื้นขึ้น หลังจากที่ใช้อย่างเป็นประจำ

  • ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ : ประมาณ 6 เดือน – 1ปี ขึ้นไป ถึงจะค่อยเห็นผลลัพธ์ ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการทายา และการฟื้นฟูสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ข้อเสียและอันตราย : อาจเกิดการอุดตันของผิว และอาการแพ้ จนเกิดการระคายเคืองผิว ผิวลอกได้ง่าย และทำให้เกิดปัญหาผิวอื่นๆ ตามมา และไม่ควรทาบ่อยจนเกินไป

SKIN CARE ที่มีส่วนผสมของ Vitamin A,E,BHA สามารถช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวได้เช่นกัน ช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น

  • ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ : ประมาณ 6 เดือน – 1ปี ขึ้นไป ถึงจะค่อยเห็นผลลัพธ์ ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการทายา และการฟื้นฟูสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ข้อเสียและอันตราย :  อาจเกิดการอุดตันของผิว และอาการแพ้ จนเกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย เลือกใช้ผลิตภัณ์ Non-Comedogenic หรือไม่ทำให้เกิดสิวอุดตัน
เน้นย้ำข้อควรระวัง การใช้กรด หรือ ครีมที่ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดด เพราะเกิดการลอก ควรทาครีมกันแดดร่วมด้วยอย่างเป็นประจำ และไม่ควรทาบ่อยจนเกินไป จะทำให้ผิวบาง จนเกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย

กินยาที่สกัดจากอนุพันธ์ของ Vitamin A (Retinoids) จำพวก Roaccutance, Acnotin, Isotretinoin ซึ่งยาเหล่านี้จะถูกสั่งจ่ายโดยแพทย์ให้กับผู้ที่มีปัญหาสิว เพื่อใช้ในการรักษาสิว ตัวยาจะส่งผลให้คอลลาเจนเกิดการกระตุ้นสร้างเซลล์ผิวใหม่ พร้อมทั้งช่วยควบคุมความมันของไขมันในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว แต่ยาประเภทนี้ยังส่งผลในด้านลบที่จะทำให้ผู้กินได้รับผลข้างเคียง คือ

  • ตาแห้ง สาเหตุมาจากปริมาณน้ำตาไม่เพียงพอ หรือมีการระเหยของน้ำตาที่มากเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตา หากปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาวโดยไม่ทำการรักษาจะทำให้อาการเคืองตารุนแรงยิ่งขึ้น จนอาจเกิดการอักเสบซึ่งหากเกิดการระคายเคืองจนกระจกตาเป็นแผลอาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไขในที่สุด
  • ผิวแห้ง จะทำให้มีผิวหนังที่แห้งกร้าน มองเห็นร่องของผิว บางคนที่มีอาการมากผิวหนังอาจมีอาการแดงลอกเป็นขุย แตกลาย โดยมักพบบริเวณ แขน ขา และมือ นอกจากนี้ยังมีอาการแสบคัน การเกาอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังได้อีกด้วย
  • ปากแห้ง มาจากการที่คุณไม่มีน้ำลายที่เพียงพอเพื่อให้ปากชุ่มชื้น ถึงแม้ว่าอาการไม่ค่อยรุนแรงมากนัก แต่หากมีอาการที่ผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นได้อีกด้วย เพราะว่าน้ำลายไม่ได้มีไว้เพียงให้ความชุ่มชื้น แต่ยังช่วยย่อยอาหาร ปกป้องฟันจากการผุ ป้องกันการติดเชื้อโดยการควบคุมแบคทีเรียในปาก
  • ผมร่วง หากกินยาสกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ จะทำให้ลดการทำงานของต่อมไขมันที่เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการหล่อเลี้ยงเส้นผม ส่งผลให้วงจรการเติบโตของเส้นผมช้าลง และค่อยๆ ถดถอยลง จนเกิดปัญหาเส้นผมต่างๆ ตามมาในที่สุด
เน้นย้ำข้อควรระวัง ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถกินยาชนิดนี้ได้ ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า ผู้ที่ตั้งครรภ์ วางแผนมีบุตร ไม่ควรใช้วิตามินเอในทุก ๆ กรณี เพราะเป็นยาที่ออกฤทธิ์แรง ซึ่งเด็กทารกในครรภ์อาจพิการได้ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  • ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ : ประมาณ  3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ข้อเสียและอันตราย การรับประทานยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อตับ และไม่ใช่ทุกคนสามารถทานยาชนิดนี้ได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด

แม้ว่าใช้วิธีการรักษาด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ หรือผลิตภัณฑ์การบำรุง หรือสิ่งใดๆ ที่ทาบนผิวหน้า รวมทั้งกินยา ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าไม่สามารถ “รักษาปัญหาหลุมสิว” หรือทำให้ผิวที่เป็นหลุมกลับมาฟูเหมือนดังเดิมได้ 100% อีกทั้งต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการดูแล  แต่ในปัจจุบันก็มีวิธีการรักษา และนวัตกรรมเครื่องมือที่ทันสมัย ที่จะช่วยทำให้แผลหลุมสิวตื้นขึ้นได้ โดยไม่ทำร้ายผิวหรือเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด ซึ่งจะมีวิธีการรักษาแบบไหนบ้างมาดูกันเลยค่ะ

รักษาด้วยเครื่องมือแพทย์

รักษาด้วยการ Laser หลุมสิว เป็นอีกหนึ่งการรักษาที่นิยม ซึ่งการทำเลเซอร์นั้นสามารถทำให้คอลลาเจนใต้ผิวถูกกระตุ้นให้สร้างตัวมากขึ้นเพื่อช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ให้หลุมสิวตื้นขึ้น

  • ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ : ความคงทนของประมาณ 1 – 2 ปี เป็นสารที่สามารถเสื่อมสลายไปได้เอง (แบบชั่วคราวจะมีความปลอดภัยกว่าแบบถาวร)
  • ข้อควรระวัง : ส่งผลกระทบต่อเซลล์ผิว ก็มีโอกาสเบิร์นได้ เพราะส่วนใหญ่ ความร้อนของเลเซอร์จะลงไปที่ชั้นหนังแท้ ดังนั้น ถ้าเป็นเลเซอร์ตัวแรง ก็จะมีความร้อนเยอะ เซลล์ผิวก็อาจจะได้รับผลกระทบได้ ยิ่งถ้าทำแล้วไปโดนแดดโดนความร้อน ก็จะไม่เป็นผลดี เพราะว่าหลังจากทำเลเซอร์ตัวแรงๆ มันจะมีความร้อนสะสมที่เซลล์ผิว ถ้าพลาดไปโดนแดดแรงๆ ช่วง 3 – 4 วันแรกหลังทำ ผู้ที่ต้องออกแดดตลอด อาจจะมีปัญหาผิวได้ ทำให้ผิวไวต่อแสง ผิวบาง ควรระมัดระวัง หรือเลี่ยงเปลี่ยนวิธีรักษาด้วยวิธีอื่น และการยิงเลเซอร์นั่นค่อนข้างร้อน จึงจำเป็นต้องใส่ยาชา ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย โอกาสเสี่ยงต่อการแพ้สูง

รักษาด้วย Filler เติมหลุมสิว เหมาะกับระดับ Rolling Scar – Box Scar การรักษาหลุมสิวโดยการฉีด ฟิลเลอร์หลุมสิว ก็คือการใช้สารชนิดนี้เข้ามาช่วยเติมเต็ม แก้ปัญหาหลุมสิวให้ตื้นขึ้นและกลับมาใกล้เคียงผิวเดิมของเราให้มากที่สุด

  • ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์ : ความคงทนของประมาณ 1 – 2 ปี เป็นสารที่สามารถเสื่อมสลายไปได้เอง (แบบชั่วคราวจะมีความปลอดภัยกว่าแบบถาวร)
  • ข้อควรระวัง : ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญ หลังจากทำการรักษา ดูแลปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเครางครัด

รักษาด้วยวิธี Skin Needling เป็นเข็มขนาดเล็กจิ้มลงในผิว นำตัวยาเข้าไป เพื่อรักษารอยแผลเป็นที่ผิวหนังลึก เช่น หลุมสิวรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดและรอยแตกลาย จะช่วยผ่อนคลายเนื้อเยื่อ กระตุ้นคอลลาเจนใหม่ที่อ่อนนุ่มให้เกิดขึ้น นอกเหนือจากนี้ยังช่วยรักษาริ้วรอย

รักษาด้วยวิธี Subcision เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยการใช้เข็มที่มีขนาดเล็ก ซึ่งเรียกว่าเข็ม Nokor Needle เป็นเข็มที่มีลักษณะพิเศษตรงที่ที่ปลายเข็มจะเป็นมีดขนาดเล็กไว้ใช้สำหรับ ตัด เซาะ พังผืดบริเวณหลุมสิวของเรา เซาะเข้าไปที่ใต้หลุมสิวของเราแต่ละหลุม เพื่อให้เกิดแผล หรือช่องว่างบริเวณใต้หลุมสิวของเรา ทำให้พังผืดที่ยึดอยู่ที่หลุมสิวหลุดออก

รักษาด้วย IPL (Intense pulsed light) เป็นการใช้แสงหลายความยาวคลื่นยิงเข้าไปบริเวณที่เกิดหลุมสิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สามารถใช้ได้ดีกับการรักษาหลุมสิว ระดับทั่วไป (Rolling scar) รักษาอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

Microdermabrasion (MD) การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี เป็นอีกวิธีที่ช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ขจัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าที่ตายแล้ว เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทันสมัย และอ่อนโยนต่อผิว ใช้ระยะเวลาในการรักษาที่รวดเร็ว และไม่เจ็บ ไม่แสบแดง

Radiofrequency (RF) เป็นการส่งพลังงานเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มีประโยชน์ในด้านการยกกระชับใบหน้าด้วย ในด้านการรักษาหลุมสิวเห็นผลลัพธ์ได้ดีประมาณ 70-80% หากทำประมาณ 3-5 ครั้งขึ้นไป อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงน้อยอีกด้วย

Punch Excision & Grafting การศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว เหมาะกับผู้ที่เป็นหลุมสิวไม่มากนัก แต่เป็นหลุมลึกและกว้าง โดยวิธีการรักษาหลุมสิวแบบนี้จะแบ่งย่อยเป็น 4 วิธี คือ

  1. Punch excision เป็นการผ่าตัดรอยหลุมสิวออก แล้วเย็บแผลให้ติดกัน ทำได้กับหลุมสิวระดับ Box scar &Ice pick scar
  2. Punch elevation เป็นการผ่าตัดหลุมสิวโดยยกเนื้อบริเวณหลุมสิวขึ้นมาให้เท่ากับเนื้อผิวปกติ แล้วทำการเย็บเนื้อที่ยกขึ้นมาให้ติดกับเนื้อผิวโดยรอบ ทำได้กับหลุมสิวระดับ Box scar
  3. Punch grafting ปิดหลุมสิวโดยการเอาเนื้อบริเวณอื่นของเรามาปิดแทนที่หลุมสิว แล้วทำการเย็บปิดเพื่อให้เนื้อเยื่อเติบโตเต็มหลุมสิว เป็นวิธีที่เหมาะกับหลุมสิวที่ลึกไม่สม่ำเสมอ ทำได้กับหลุมสิวระดับ Box scar &Ice pick scar
  4. Elliptical excision เป็นการผ่าตัดหรือกรีดหลุมสิวให้เป็นวงรีและจัดการเย็บแผลให้ติดกัน ซึ่งเป็นการเย็บปิดแผลเป็นหลุมสิวให้แนบสนิท
เน้นย้ำข้อควรระวัง ด้วยวิธีการรักษาที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การเลือกคลินิกรักษา ต้องมีมาตรฐาน และน่าเชื่อถือ มีใบอนุญาตดำเนินการ สามารถเปิดกิจการได้ สถานที่ต้องสะอาดปลอดภัย ตัวยาต้องมี อ.ย. รับรองอย่างถูกต้อง เครื่องมือทางการแพทย์ต้องทันสมัยและพร้อมให้บริการ เมื่อดูภาพโดยรวมแล้วต้องน่าเชื่อถือ และมีการให้บริการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ

การรักษาปัญหาหลุมสิวมีหลายวิธีการรักษา ไม่ว่าจะรักษาด้วยตัวเอง หรือรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์  ซึ่งแต่ละวิธีนั้น รักษาตามสภาพผิวของแต่คน โดยปัญหาหลุมสิวนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ฟื้นฟูให้กลับมาเรียบเนียนดั่งเดิมได้ด้วยวิธีการต่างๆ ตามความพึงพอใจ สะดวกเลือกรักษา ระยะเวลารอผลลัพธ์

รักษาหลุมสิวที่ไหนดี ?

จากที่ได้รู้จักกับปัญหาหลุมสิวกันแล้ว หลายๆ คน เริ่มมองหาที่รักษาหลุมสิวที่ตอบโจทย์ความพึงพอใจของตัวเองกันแล้วใช่ไหมคะ โปรแกรม Baby New Face ของทาง The Touch Clinic เป็นโปรแกรมที่คิดค้นมาเพื่อรักษาผู้ที่ประสบปัญหาหลุมสิวโดยเฉพาะ พร้อมรักษาปัญหาผิวอื่นๆ อีกด้วย เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร เราได้รวบรวมการรักษาไว้ในโปรแกรมเดียว ตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบัน ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์การรักษาที่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา

รักษาด้วยโปรแกรม Baby New Face ต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่?

  • rolling scar  ควรทำ  Baby new face 3-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับบริเวณกว้างของพื้นที่สิว
  • Box scar ควรทำ Baby new face 3-5 ครั้งและฉีด face cell ตรงหลุมสิว
  • Ice pick scare ควรทำ Baby new face 5-7 ครั้งและฉีด Growth Fater
  • Keloid ไม่แนะนำให้ทำ แต่สามารถเข้ามาปรึกษากับคุณหมอเพื่อหาวิธีรักษาที่ตรงจุด

โปรแกรม Baby New Face เป็นอีกหนึ่งแนวทางประกอบการตัดสินใจในการเลือกวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะกับลักษณะของหลุมสิวทุกระดับ ให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ Renew Skin สร้างผิวใหม่อีกครั้ง คืนความมั่นใจให้กับทุกคน

รักษาหลุมสิว กวนใจด้วย BABY NEW FACE ปัญหาหลุมสิวบนใบหน้าคุณ คือเรื่องสิวๆ ของเรา อ่านเพิ่มเติม คลิ๊ก

สรุป

ปัญหาหลุมสิว นับว่าเป็นปัญหาผิวที่ใช้ระยะเวลาการรักษานาน สาเหตุมาจากการเกิดสิวอักเสบ หลังจากเกิดบาดแผลหรือการอักเสบ การอักเสบของสิวจะทำให้มีการหลั่งเอ็นไซม์ Collagenase ออกมาสลายคอลลาเจนที่ผิวเราและเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้าง จึงทำให้ผิวหนังยุบลงไป และร่างกายมีการสร้างพังผืดดึงรั้ง จึงเกิดเป็นหลุมสิว ซึ่งมีหลายระดับความรุนแรง ในส่วนของการรักษาในปัจจุบันนี้ ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ทำให้มีหลายทางเลือกในการรักษา

สำหรับใครที่ประสบปัญหาหลุมสิวอยู่ในตอนนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคน ในการดูแลตัวเอง และเลือกรักษาตามความพึงพอใจของเรา แต่ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา ขอให้ดูแลตัวเองตามคำแนะนำข้างต้น ร่วมกับโปรแกรม Baby New Face ของทาง The Touch Clinic ช่วยดูแลอีกขั้น เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาหลุมสิวโดยเฉพาะ ให้กลับไปมีผิวเรียบเนียน ด้วยนวัตกรรม และเครื่องมือที่ทันสมัย ได้มาตรฐานสากล Renew skin อีกครั้ง เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก และคืนความมั่นใจให้กับเราทุกคนกันค่ะ

หากเพื่อนๆ มีข้อสงสัยต้องการได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับสภาพผิว สามารถเข้ามาที่ The Touch Clinic ได้เลยค่ะ ทางเรามีทีมคุณหมอ ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความเข้าใจในปัญหา และสามารถช่วยวางแผนแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด และสามารถช่วยวิเคราะห์สภาพผิว พร้อมให้คำแนะนำ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อคอร์สกับทางเราก็สามารถเข้ามาปรึกษาได้  เพราะเราเข้าใจว่า การมีผิวหน้าที่สุขภาพดี เสริมสร้างความมั่นใจให้ทุกคน