ยาพารา ยาแก้ปวดที่อาจพรากชีวิตได้แบบไม่รู้ตัว

Meta Description:
“ยาพารา” หรือพาราเซตามอล ยาแก้ปวดลดไข้ยอดนิยม แต่หากใช้ผิดวิธีหรือกินบ่อยเกินขนาด อาจทำให้ตับวายเฉียบพลันได้ภายในไม่กี่วัน แพทย์เตือน! อย่าคิดว่าพาราปลอดภัยเสมอไป


ยาพารา — คำที่ฟังดูปลอดภัยที่สุดเวลาป่วย เพราะเรามักได้ยินกันว่า “ไม่เป็นไร กินพาราไว้ก่อน เดี๋ยวก็หาย” แต่คุณรู้ไหมว่า ยาพารา คือสาเหตุอันดับ 1 ของ “ภาวะตับวายเฉียบพลัน” ในผู้ป่วยทั่วโลกตามรายงานของ World Health Organization (WHO)

หลายคนใช้ ยาพารา แบบซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่ปวดหัว เป็นไข้ หรือรู้สึกเพลีย โดยไม่รู้เลยว่าการกินแบบเดิมซ้ำ ๆ นั้น ทำให้ร่างกายค่อย ๆ สะสมสารพิษที่ชื่อว่า N-acetyl-p-benzoquinone imine (NAPQI) ซึ่งเป็นพิษโดยตรงต่อเซลล์ตับ

ยาพารา

แพทย์เตือนว่า “ตับพัง” จาก ยาพารา มักไม่ส่งสัญญาณล่วงหน้า กว่าจะรู้ตัว ก็อาจสายเกินเยียวยา


ทำไม “ยาพารา” ถึงอันตรายกว่าที่คิด

ยาพารา

1. เพราะพาราไม่ใช่ยาอ่อน

หลายคนเข้าใจว่า “ยาพารา กินเท่าไรก็ได้” เพราะหาซื้อง่าย แต่ความจริง พาราเซตามอลเป็นยาออกฤทธิ์ที่ต้องผ่านการเผาผลาญที่ตับเกือบทั้งหมด เมื่อร่างกายได้รับเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน (เท่ากับ 8 เม็ดขนาด 500 มก.) ตับจะเริ่มผลิตสารพิษ NAPQI ออกมาเกินความสามารถในการกำจัด และส่งผลให้เซลล์ตับตายเฉียบพลัน

จากข้อมูลของ US Food and Drug Administration (FDA) พบว่าผู้ที่รับประทานยาพาราเกินขนาดแม้เพียง 2–3 วัน มีความเสี่ยง “ตับวายเฉียบพลัน” สูงกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่า


2. เพราะร่างกายไม่สามารถบอกว่า “พอแล้ว”

อาการเริ่มต้นของพิษจาก ยาพารา มักไม่ชัดเจน — อาจเริ่มแค่คลื่นไส้ ปวดท้อง อ่อนเพลีย แล้วค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าตับเริ่มล้มเหลว

แพทย์พบว่าคนไทยจำนวนมาก มีพฤติกรรม “กินยาพาราเรื่อย ๆ” โดยไม่อ่านฉลาก หรือกินซ้ำกับยารักษาไข้หวัดที่มีส่วนผสมของพาราอยู่แล้ว ทำให้ปริมาณสะสมในตับสูงเกินขีดจำกัดโดยไม่รู้ตัว


รู้จักสารพิษ NAPQI – ตัวการที่ทำให้ตับวาย

ยาพารา

เมื่อเรากิน ยาพารา เข้าไป ตับจะเปลี่ยนส่วนหนึ่งของตัวยาให้กลายเป็นสารพิษชื่อ NAPQI โดยปกติ ร่างกายจะใช้สารต้านพิษชื่อ Glutathione มาช่วยกำจัดมันออกไป

แต่ถ้ากินพารามากเกินไป ร่างกายจะผลิต Glutathione ไม่ทัน ส่งผลให้ NAPQI ทำลายผนังเซลล์ตับ จนเกิดภาวะ ตับอักเสบเฉียบพลัน และอาจพัฒนาเป็น ตับวายเฉียบพลัน (Acute Liver Failure) ภายในไม่กี่วัน

อาการตับวายจาก ยาพารา ที่ควรระวัง ได้แก่:

  • อ่อนเพลียมากกว่าปกติ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดแน่นชายโครงขวา
  • ปัสสาวะสีเข้ม ตาเหลือง ตัวเหลือง
  • สับสน หรือหมดสติในกรณีรุนแรง

พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ “พารา” กลายเป็นพิษ

ยาพารา

1. กินพาราซ้ำบ่อยเกินไป

การกินยาพาราเกินวันละ 8 เม็ด หรือกินถี่เกินทุก 4 ชั่วโมง จะเพิ่มโอกาสสะสมสารพิษในตับโดยตรง

2. กินพาราคู่กับแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะกระตุ้นเอนไซม์ในตับให้ผลิตสาร NAPQI มากขึ้น เมื่อดื่มแอลกอฮอล์และกินพาราพร้อมกัน จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงตับวายเฉียบพลันกว่า 2 เท่า

3. ใช้ยาหลายชนิดที่มีพาราโดยไม่รู้ตัว

ยารักษาไข้หวัด ไอ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ หลายชนิดมีส่วนผสมของ พาราเซตามอล เช่น Coldrex, Tylenol, หรือยาชุดแก้หวัดทั่วไป ถ้าไม่ได้อ่านฉลากให้ละเอียด อาจกินเกินขนาดโดยไม่ตั้งใจ


วิธีกิน “ยาพารา” อย่างปลอดภัย

ยาพารา

1. ไม่กินเกิน 4,000 มก. ต่อวัน

อ่านฉลากก่อนทุกครั้ง ถ้าเป็นเม็ดขนาด 500 มก. ไม่ควรกินเกิน 8 เม็ดภายใน 24 ชั่วโมง และต้องเว้นระยะอย่างน้อย 4–6 ชั่วโมงต่อครั้ง

2. ไม่กินร่วมกับแอลกอฮอล์หรือยาอื่นที่มีพารา

ถ้ามีอาการไข้ ปวดหัว หรือไม่สบายเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์แทนการกินซ้ำ เพราะบางอาการอาจไม่เกี่ยวกับไข้หรือปวดทั่วไป

3. พักตับด้วยการดูแลอาหารและการนอน

หลีกเลี่ยงอาหารมันและของทอด ดื่มน้ำมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน นอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง เพื่อให้ตับมีเวลาฟื้นฟูการทำงานตามธรรมชาติ


อย่ารอให้ “ตับพัง” แล้วค่อยดูแล

ยาพารา

หลายคนรู้จัก ยาพารา ในฐานะ “ยาอเนกประสงค์” แต่ลืมไปว่ามันคือยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบอวัยวะสำคัญอย่าง “ตับ” โดยตรง

ทุกเม็ดที่เรากินเข้าไป คือตับที่ต้องทำงานหนักขึ้น และทุกการกินซ้ำโดยไม่เช็ก คือการเร่งให้ตับเสื่อมเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว

คลินิกหลิงออม และ The Touch Clinic แนะนำให้ตรวจสุขภาพตับอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาเป็นประจำ หรือมีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ เพราะ “การรู้ก่อน” คือทางรอดของตับในอนาคต

AW : H2

สุขภาพดี เริ่มจากการอ่านฉลากก่อนกลืน อย่ารอให้ไข้หาย แต่ตับพัง…เพราะสุขภาพไม่ควรเสี่ยงกับความเคยชิน