หิวจริง หรือ ใจมันโหย? เมื่ออาหารกลายเป็นเครื่องปลอบใจของอารมณ์
หิวจริง หรือ ใจมันโหย?
รู้จักภาวะ Emotional Eating ที่เรากินเพราะอารมณ์มากกว่าความหิว เครียด เหงา หรือเศร้า ก็อยากกินตลอดเวลา แพทย์เตือน! นี่ไม่ใช่ความขี้โลภของร่างกาย แต่คือกลไกเอาตัวรอดของใจ
หิวจริง หรือ ใจมันโหย — คำถามเรียบง่ายแต่ตอบยาก เพราะหลายครั้งสิ่งที่เรากำลังเคี้ยว ไม่ได้มาจาก “ท้องว่าง” แต่มาจาก “ใจที่ต้องการปลอบประโลม” โดยไม่รู้ตัว
ในวันที่เครียด เหงา หรือรู้สึกโดดเดี่ยว หลายคนเลือกใช้ “อาหาร” เป็นเครื่องมือเยียวยาความรู้สึกชั่วคราว — เครียดก็สั่งของหวาน, เหงาก็หาขนมกิน, นอนไม่หลับก็เปิดตู้เย็นหาของเคี้ยว พฤติกรรมนี้เรียกว่า Emotional Eating หรือ การกินตามอารมณ์
แพทย์จิตเวชอธิบายว่า ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจาก “ความอยากอาหาร” แต่เกิดจาก “สมองและใจ” ที่พยายามหาวิธีเอาตัวรอดจากความรู้สึกไม่ดี เพราะในขณะนั้น การกินคือสิ่งเดียวที่ควบคุมได้ง่ายที่สุด
ดังนั้น ถ้าคุณเคยถามตัวเองว่า “เราหิวจริง หรือ ใจมันโหย?” คำตอบอาจคือ “ทั้งสองอย่าง” — แต่สมองของคุณเลือกตอบด้วยการกิน
ภาวะ Emotional Eating คืออะไร?
กินเพราะอารมณ์ ไม่ใช่เพราะร่างกาย
Emotional Eating คือภาวะที่คนเรากินเพื่อเยียวยาความรู้สึก ไม่ใช่เพื่อเติมพลังให้ร่างกาย เช่น กินเมื่อเครียด กินเมื่อเหงา หรือกินตอนเบื่อ โดยสมองจะเชื่อมโยง “อาหาร = ความสบายใจ” และเมื่อทำซ้ำบ่อย ๆ สมองจะจดจำจนกลายเป็นพฤติกรรมถาวร
ผลลัพธ์คือคุณเริ่มกินโดยไม่รู้ตัว แม้ไม่ได้หิวเลยก็ตาม — และยิ่งเครียด ยิ่งกินมากขึ้น
อาหารที่ใจโหย มักเป็นของหวานและมัน
งานวิจัยจาก Harvard Medical School พบว่า กว่า 80% ของคนที่มีภาวะ Emotional Eating มักเลือกอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง เช่น ของหวาน ขนมปัง ช็อกโกแลต หรือของทอด
เพราะอาหารเหล่านี้กระตุ้นให้สมองหลั่ง โดปามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข — แต่เป็น “ความสุขหลอก” ที่อยู่ได้ไม่นาน เมื่อระดับโดปามีนลดลง สมองจะเรียกร้องให้กินเพิ่มอีก กลายเป็นวงจร “กิน–รู้สึกผิด–เครียด–กินอีก” ที่ยากจะหยุด
หิวจริง หรือ ใจมันโหย ต่างกันยังไง?
1. หิวจริง: สัญญาณจากร่างกาย
- เกิดช้า — รู้สึกหิวหลังไม่ได้กินอาหาร 3–4 ชั่วโมง
- หายได้ — เมื่อกินอิ่มแล้วจะรู้สึกพอ
- ร่างกายต้องการพลังงาน ไม่จำกัดชนิดอาหาร
- ไม่เกิดความรู้สึกผิดหลังจากกิน
2. หิวใจ: สัญญาณจากอารมณ์
- เกิดเร็ว — มักมาในทันทีหลังมีอารมณ์ เช่น โกรธ เหงา เครียด
- เฉพาะเจาะจง — อยากกินของหวาน ของมัน ของทอด
- หยุดยาก — แม้อิ่มแล้วก็ยังอยากกินต่อ
- ตามมาด้วยความรู้สึกผิดหรือโทษตัวเอง
ถ้าคุณสังเกตว่า “ความหิว” ของคุณมาพร้อมอารมณ์ เช่น กินเพราะเบื่อ หรือเพราะเหนื่อยใจ นั่นคือ หิวจากใจ ไม่ใช่จากท้อง
ทำไมสมองถึงใช้ “การกิน” เป็นการเยียวยาใจ
1. เพราะอาหารให้รางวัลเร็วที่สุด
เวลาที่เครียด สมองส่วนอารมณ์ (Amygdala) จะกระตุ้นให้เราหาทางปลอบตัวเอง และ “อาหาร” โดยเฉพาะของหวาน เป็นสิ่งที่สร้างความพึงพอใจได้ภายในไม่กี่นาที สมองจึงเรียนรู้ว่า “กิน = สบายใจ”
2. เพราะการกินปลอดภัยกว่าเผชิญอารมณ์
หลายคนเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ส่งเสริมให้แสดงอารมณ์ จึงใช้ “การกิน” เป็นที่ระบายความรู้สึกโดยไม่รู้ตัว เมื่อทำบ่อยเข้า สมองจะยึดพฤติกรรมนี้เป็นกลไกเอาตัวรอดทางอารมณ์
3. เพราะฮอร์โมนเครียดเปลี่ยนระบบย่อยอาหาร
ฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ที่หลั่งตอนเครียด จะกระตุ้นให้ร่างกายอยากกินอาหารพลังงานสูง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ นั่นคือเหตุผลที่เรามัก “อยากของหวาน” ทุกครั้งที่เหนื่อยใจ
วิธีรับมือภาวะ “หิวจากใจ” แบบไม่ต้องห้ามตัวเอง
1. หยุด 10 วินาทีก่อนกิน
ถามตัวเองว่า “เราหิวจริง หรือแค่เหนื่อยใจ?” การหยุดคิดเพียงไม่กี่วินาที ช่วยให้สมองแยกแยะได้ว่า นี่คือความต้องการของร่างกาย หรือของอารมณ์
2. เปลี่ยนจากการกิน → เป็นการพักใจ
แทนที่จะเปิดตู้เย็น ลองเปิดเพลงหรือออกไปเดินช้า ๆ การเคลื่อนไหวช่วยให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งลดความเครียดได้ใกล้เคียงกับการกิน
3. จัดตารางการนอนและพักผ่อน
นอนไม่พอ = หิวจอมปลอม เพราะฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) เพิ่มขึ้น และฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ลดลง ทำให้สมองหลงคิดว่าร่างกายต้องการพลังงานเพิ่ม
4. ฝึก “กินอย่างมีสติ” (Mindful Eating)
นั่งกินโดยไม่เปิดมือถือ ไม่ดูจอ และไม่รีบ ใช้เวลา 20 นาทีต่อมื้อ เพื่อให้สมองส่งสัญญาณ “อิ่ม” ได้เต็มที่
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากควบคุมไม่ได้
หากรู้สึกว่าควบคุมการกินไม่ได้ หรือกินจนรู้สึกผิดซ้ำ ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพื่อประเมินภาวะ Emotional Eating และหาวิธีเยียวยาที่เหมาะกับจิตใจของคุณ
หิวจากใจไม่ผิด…แต่อย่าปล่อยให้ใจต้องกินแทนการพูด
การยอมรับว่าเรากำลังกินเพราะ “ใจมันโหย” ไม่ใช่ความผิด แต่มันคือจุดเริ่มต้นของ “การเข้าใจตัวเอง” เพราะทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่อารมณ์ต้องการที่พึ่ง — เพียงแต่เราต้องรู้ว่า “อาหารไม่ใช่คำตอบเสมอไป”
คลินิกหลิงออม และ The Touch Clinic เชื่อว่าการดูแลสุขภาพจิตและกายต้องไปพร้อมกัน เพราะร่างกายที่สมดุล เริ่มจากใจที่เข้าใจตัวเอง
สุขภาพดี…เริ่มจากใจที่ไม่ต้องหิวแทนความรู้สึก 🧠💛

