|

Conversion Disorder เมื่อจิตใจเจ็บปวด ร่างกายจึงส่งสัญญาณแทน

Conversion Disorder เมื่อจิตใจเจ็บปวด ร่างกายจึงส่งสัญญาณแทน

เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ มือสั่น น้ำตาไหล แต่ตรวจร่างกายแล้ว “ไม่พบความผิดปกติ”

อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแกล้ง ไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจ และไม่ใช่ความอ่อนแอ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Conversion Disorder ภาวะที่ “ความเจ็บปวดทางใจ” ถูกแปลงออกมาเป็น “อาการทางกาย” โดยที่ผู้ป่วยเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น


ภาพปก Conversion Disorder คืออะไร
Conversion Disorder คืออะไร

Conversion Disorder คืออะไร

Conversion Disorder หรือในทางการแพทย์จัดอยู่ในกลุ่ม Functional Neurological Disorder (FND) เป็นภาวะที่:

  • ระบบประสาททำงานผิดรูปแบบ
  • แต่ ไม่พบความเสียหายของสมอง เส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อ

พูดง่าย ๆ คือ ร่างกาย “ทำงานเหมือนมีโรค” แต่ไม่ได้มีพยาธิสภาพทางกายภาพให้ตรวจพบ


ภาพปก ตัวอย่างอาการที่พบบ่อย
ตัวอย่างอาการที่พบบ่อย

อาการด้านการเคลื่อนไหว

  • เดินไม่ได้ เดินเซ ขาอ่อนแรง
  • มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก
  • เป็นอัมพาตชั่วคราว

อาการด้านการรับความรู้สึก

  • ชา แขนขาไม่มีแรง
  • รู้สึกเจ็บปวดโดยไม่พบสาเหตุ
  • มองไม่ชัด ได้ยินลดลงแบบเฉียบพลัน

อาการด้านการสื่อสาร

  • พูดไม่ได้ เสียงหาย
  • พูดติดขัด เหมือนลิ้นแข็ง

อาการทางอารมณ์ร่วม

  • น้ำตาไหลควบคุมไม่ได้
  • หายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอก
  • เหนื่อยล้าเรื้อรัง

ภาพปก ทำไมตรวจร่างกายแล้ว “ไม่เจออะไรผิดปกติ”
ทำไมตรวจร่างกายแล้ว “ไม่เจออะไรผิดปกติ”

ทำไมตรวจร่างกายแล้ว “ไม่เจออะไรผิดปกติ”

นี่คือจุดที่ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมาก รู้สึกสับสน ท้อแท้ และรู้สึกว่าตัวเองไม่ถูกรับฟัง เพราะ Conversion Disorder ไม่ใช่โรคของ “โครงสร้าง” แต่เป็นโรคของ “การทำงานของระบบประสาท”

เปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ ฮาร์ดแวร์ปกติ แต่ซอฟต์แวร์ทำงานผิดจังหวะ ทำให้การสั่งการรวนไปหมด


ภาพปก จุดกำเนิดที่แท้จริง คือความเจ็บปวดทางใจ
จุดกำเนิดที่แท้จริง คือความเจ็บปวดทางใจ

จุดกำเนิดที่แท้จริง คือความเจ็บปวดทางใจ

จิตใจที่รับไม่ไหว ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ

หลายกรณีพบว่า Conversion Disorder เกิดร่วมกับ:

  • ความเครียดสะสม
  • ความสูญเสีย
  • เหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ (Trauma)
  • การกดทับอารมณ์เป็นเวลานาน

เมื่อจิตใจ “พูดไม่ไหว” ร่างกายจึง “พูดแทน”


ภาพปก Conversion Disorder ≠ การแกล้งป่วย
Conversion Disorder ≠ การแกล้งป่วย

Conversion Disorder ≠ การแกล้งป่วย

นี่คือความเข้าใจผิดที่อันตรายที่สุด:

  • ❌ ไม่ใช่ “มโน”
  • ❌ ไม่ใช่ “คิดไปเอง”
  • ❌ ไม่ใช่ “เรียกร้องความสนใจ”

ผู้ป่วย ไม่ได้เลือก ให้ตัวเองเป็นแบบนี้ และอาการสามารถรุนแรงจนใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้จริง


ภาพปก ทำไมหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองเป็น
ทำไมหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองเป็น

ทำไมหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองเป็น

เพราะอาการมัน “ดูเป็นโรคทางกาย”

คนไข้มักเริ่มจาก:

  • ไปหาหมอออร์โธ
  • ตรวจสมอง
  • ตรวจเส้นประสาท
  • ตรวจเลือด

แต่เมื่อผลออกมาปกติ กลับรู้สึกว่า “ฉันผิดปกติอยู่คนเดียว”

เพราะสังคมไม่คุ้นกับโรคที่มองไม่เห็น

โรคที่ไม่มีแผล ไม่มีภาพ X-ray มักถูกมองว่า “ไม่หนัก” ทั้งที่จริงแล้ว ความเจ็บปวดนั้น ลึกและหนักมาก


ภาพปก การรักษา Conversion Disorder ต้องดูแลอะไรบ้าง
การรักษา Conversion Disorder ต้องดูแลอะไรบ้าง

การรักษา Conversion Disorder ต้องดูแลอะไรบ้าง

1. การทำความเข้าใจโรค (Psychoeducation)

การอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่า อาการเกิดจากระบบประสาท ไม่ใช่ความผิดของตัวเอง เพียงแค่ “เข้าใจ” อาการบางส่วนก็สามารถดีขึ้นได้แล้ว

2. การดูแลด้านจิตใจ

  • จิตบำบัด (Psychotherapy)
  • Trauma-informed therapy
  • การฝึกจัดการอารมณ์

เป้าหมายไม่ใช่การ “ขุดอดีต” แต่คือการ ช่วยให้จิตใจไม่ต้องแบกหนักคนเดียว

3. การฟื้นฟูร่างกาย (Physical Rehabilitation)

แม้อาการมีต้นเหตุจากใจ แต่ร่างกายต้องได้รับการดูแลจริง

  • กายภาพบำบัด
  • การฝึกการเคลื่อนไหวอย่างปลอดภัย
  • การสร้างความมั่นใจให้ร่างกาย “กลับมาเชื่อว่าตัวเองทำได้”

ภาพปก บทบาทของคนรอบข้าง สำคัญกว่าที่คิด
บทบาทของคนรอบข้าง สำคัญกว่าที่คิด

บทบาทของคนรอบข้าง สำคัญกว่าที่คิด

สิ่งที่ควรทำ

  • ฟังโดยไม่ตัดสิน
  • เชื่อในอาการของผู้ป่วย
  • สนับสนุนการรักษาอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ไม่ควรพูด

  • “คิดมากไปเอง”
  • “ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
  • “ต้องเข้มแข็งสิ”

คำพูดเหล่านี้อาจทำให้อาการหนักขึ้นโดยไม่ตั้งใจ


ภาพปก ไม่เห็นแผล ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บ
ไม่เห็นแผล ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บ

ไม่เห็นแผล ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บ

Conversion Disorder สอนให้เรารู้ว่า “ร่างกายกับจิตใจ ไม่เคยแยกจากกันจริง ๆ” และความเจ็บปวดบางอย่าง ไม่ได้มีไว้ให้พิสูจน์ แต่มีไว้ให้ “เข้าใจ”

การรักษาที่ได้ผล ต้องดูแลทั้งใจและกายไปพร้อมกัน

Conversion Disorder ไม่ใช่โรคของความอ่อนแอ แต่เป็นสัญญาณว่ามนุษย์คนหนึ่ง แบกรับอะไรมามากเกินไป การรักษาที่แท้จริง คือการ ไม่ปล่อยให้เขาเจ็บเพียงลำพัง