Misophonia โรคเกลียดเสียง เมื่อเสียงธรรมดากลายเป็นฝันร้ายของสมอง

Misophonia โรคเกลียดเสียง คือภาวะที่สมองตอบสนองต่อเสียงเล็กน้อยเกินจริง เช่น เสียงเคี้ยว เสียงหายใจ หรือเสียงพิมพ์แป้น ทำให้เกิดความหงุดหงิด โกรธ หรืออยากหนีทันที โรคนี้ไม่ใช่เรื่องเว่อร์ แต่เป็นภาวะจริงทางสมองที่ต้องเข้าใจและเรียนรู้วิธีอยู่ร่วมอย่างสมดุล

คุณเคยรู้สึกไหมว่า “แค่เสียงเคี้ยวข้าวของคนข้างๆ ก็ทำให้หงุดหงิดขึ้นมาทันที”
หรือบางครั้งเสียงปาก เสียงพิมพ์คีย์บอร์ด เสียงหายใจ หรือเสียงคลิกปากเล็กน้อย…
กลับกลายเป็น “เสียงที่ทนไม่ได้” เหมือนสมองสั่งให้หนีออกจากสถานการณ์นั้นทันที
ภาวะนี้ไม่ใช่แค่ “จู้จี้ หรืออารมณ์ร้อน”
แต่มันคือภาวะที่เรียกว่า Misophonia โรคเกลียดเสียง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการจิตเวชทั่วโลกให้ความสนใจกับ Misophonia โรคเกลียดเสียง มากขึ้น เพราะพบว่าคนจำนวนไม่น้อยมีอาการนี้โดยไม่รู้ตัว และส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ความสัมพันธ์ และการทำงานในระยะยาว
รายงานจาก Harvard Health Publishing (2023) ระบุว่า ผู้ที่มี Misophonia โรคเกลียดเสียง สมองจะตอบสนองต่อเสียงบางประเภทเร็วกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิด “ความรู้สึกโกรธ หงุดหงิด หรืออยากหลบหนีทันที” แม้เสียงนั้นจะเบาเพียงนิดเดียว
เข้าใจ Misophonia โรคเกลียดเสียง – สมองไม่ได้เว่อร์ แต่อ่อนไหวเกินควบคุม

Misophonia คืออะไร และเกิดจากอะไร
คำว่า Misophonia มาจากภาษากรีก — Miso แปลว่า “เกลียด” และ Phonia แปลว่า “เสียง”
รวมกันหมายถึง “ความเกลียดชังเสียงบางประเภทอย่างรุนแรง”
โดยเสียงที่กระตุ้นอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น
- เสียงเคี้ยวอาหาร
- เสียงดูดน้ำ
- เสียงพิมพ์คีย์บอร์ด
- เสียงคลิกปาก หรือเสียงหายใจ
- เสียงเคาะปากกา หรือเสียงนาฬิกาเดิน
แม้จะเป็นเสียงเล็กน้อย แต่สำหรับผู้ที่มี Misophonia โรคเกลียดเสียง สมองจะตีความว่าเป็น “ภัยคุกคาม” และกระตุ้นระบบต่อสู้–หนี (Fight or Flight) ทันที ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันสูง และรู้สึกโกรธหรือเครียดทันที
งานวิจัยจาก Newcastle University (UK) ชี้ว่า บริเวณสมองที่เรียกว่า Anterior Insular Cortex (AIC) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้และอารมณ์ มีการทำงานมากเกินไปในผู้ป่วย Misophonia — แปลว่าสมองของพวกเขา “ไม่ได้อยากเกลียดใคร” แต่ “ระบบประสาทตอบสนองแรงเกินไป”
“ไม่ใช่เพราะเขาเรื่องมาก… แต่เพราะสมองสั่งให้หนี”
อาการของผู้มีภาวะ Misophonia โรคเกลียดเสียง

อาการหลักของโรคนี้ไม่ได้อยู่ที่ “หู” แต่อยู่ที่ “สมอง”
ผู้ป่วยมักมีอาการดังนี้
- รู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือกลัวทันทีเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง
- อยากหนีหรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่มีเสียงนั้น
- รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก หรือหายใจแรงเมื่ออยู่ใกล้ต้นเสียง
- บางรายถึงขั้นเกิด “ระเบิดทางอารมณ์”
- หลังจากนั้นรู้สึกผิดหรือเศร้าที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ภาวะนี้มักเริ่มตั้งแต่วัยรุ่น และพบมากในผู้ที่มีภาวะวิตกกังวลสูง หรือมีประวัติครอบครัวที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นทางอารมณ์
เมื่อเสียงธรรมดา กลายเป็นเสียงทรมานระดับ 10

ทำไมเสียงเล็กน้อยถึงกระตุ้นอารมณ์รุนแรง
สมองของผู้ที่มี Misophonia โรคเกลียดเสียง จะมี “เส้นทางสื่อสาร” ระหว่างสมองส่วนรับเสียง (Auditory Cortex) และสมองส่วนควบคุมอารมณ์ (Amygdala) เชื่อมต่อกันมากกว่าปกติ
นั่นหมายความว่า เสียง = ความรู้สึก สำหรับพวกเขา
เช่น
- เสียงเคี้ยวข้าว อาจแปลว่าสมองรับรู้ว่า “ถูกรบกวน”
- เสียงหายใจ อาจตีความว่า “น่ารำคาญ”
- เสียงปากอาจทำให้รู้สึกเหมือนถูกคุกคาม
สำหรับคนทั่วไป เสียงเหล่านี้เป็นเพียง “เสียงธรรมดา”
แต่สำหรับผู้ป่วย Misophonia มันคือ เสียงทรมานระดับ 10 ที่ควบคุมไม่ได้
Misophonia ส่งผลต่อความสัมพันธ์อย่างไร

ปัญหาของโรคนี้คือ “ต้นเสียง” มักมาจากคนใกล้ตัว เช่น คนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก
เมื่ออยู่ในสถานการณ์นั้นซ้ำ ๆ ผู้ป่วยอาจเริ่ม
- หลีกเลี่ยงการกินข้าวร่วมโต๊ะ
- ไม่อยากอยู่ในที่ทำงานหรือห้องเรียน
- รู้สึกโกรธทั้งที่ไม่อยากโกรธ
“เสียงเคี้ยวข้าว สำหรับบางคนคือเสียงระเบิดในหัว”
สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางอารมณ์ ความรู้สึกผิด และความโดดเดี่ยว
ดังนั้นการเข้าใจว่า “เขาไม่ได้แกล้งเกลียดใคร” คือก้าวแรกของการอยู่ร่วมอย่างมีเมตตา
วิธีรับมือและอยู่ร่วมกับ Misophonia โรคเกลียดเสียง

ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาขาด แต่บรรเทาอาการได้
ถึงตอนนี้ยังไม่มี “ยารักษา” ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ Misophonia โรคเกลียดเสียง
แต่สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและฝึกสมอง เช่น
- Sound Therapy (การบำบัดด้วยเสียง):
เปิดเสียง White Noise หรือเสียงธรรมชาติ เพื่อกลบเสียงกระตุ้นที่รบกวนสมอง - Cognitive Behavioral Therapy (CBT):
การฝึกควบคุมอารมณ์และปรับการตีความเสียงใหม่ เพื่อไม่ให้สมองตอบสนองรุนแรง - Mindfulness Meditation:
ฝึกสติและการหายใจลึกเพื่อลดการตอบสนองของสมองส่วน Amygdala - สื่อสารกับคนรอบข้างอย่างเข้าใจ:
บอกให้คนใกล้ตัวรู้ว่าคุณมีภาวะนี้ ไม่ได้ตั้งใจโกรธหรือหนี เพื่อให้พวกเขาปรับตัวและเข้าใจร่วมกัน
“Misophonia ยังไม่มีทางหายขาด แต่เราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมได้”
เสียงอาจไม่เงียบลง แต่ใจเราสงบขึ้นได้

หัวใจสำคัญของการรับมือโรคนี้ คือ “ยอมรับว่าเสียงนั้นมีอยู่” แต่เลือกไม่ให้มันควบคุมชีวิต
เริ่มจากเข้าใจร่างกายของตัวเอง ฝึกจิตใจให้นิ่งขึ้น และหากจำเป็น ควรปรึกษาจิตแพทย์เพื่อวางแผนการบำบัดอย่างเหมาะสม
เมื่อสมองเรียนรู้ที่จะ “อยู่กับเสียง” แทนการ “หนีจากเสียง” คุณจะเริ่มรู้สึกว่าโลกไม่ได้ดังขึ้น — แต่หัวใจคุณสงบลง
Misophonia โรคเกลียดเสียง ไม่ใช่เรื่องเว่อร์ และไม่ใช่แค่ความรำคาญทั่วไป
แต่มันคือภาวะทางสมองที่ส่งผลต่ออารมณ์ ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตในระยะยาว
หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการแบบนี้ — หงุดหงิดกับเสียงเล็กน้อย หรือรู้สึกเหมือน “สมองสั่งให้หนี” ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงบางอย่าง
อย่าปล่อยให้ต้องทนอยู่กับมันคนเดียว
ปรึกษาทีมแพทย์ผู้ชำนาญการที่ The Touch Clinic
📲 ปรึกษาผู้ชำนาญการฟรีผ่าน Line: @thetouchclinic
📍 พร้อมดูรีวิวจริงจากผู้ใช้จริง และเลือกโปรแกรมที่ตรงกับคุณที่สุด
หรือ โทรเลย 063 226 6626
สามารถรับคำปรึกษาเพิ่มเติม
https://lin.ee/B78fh3W (คลิกเลย) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.thetouchexclusive.com/

