ภาวะ “Nomophobia” โรคกลัวไม่มีมือถือ…ภัยเงียบของคนยุค 5G

ทำรูปปก

ภาวะ “Nomophobia”
คืออาการวิตกกังวลเมื่อไม่ได้ใช้มือถือ หรืออยู่ห่างจากสมาร์ทโฟน พบได้มากในคนยุคดิจิทัล งานวิจัยจาก King’s College London ชี้ว่าผู้ที่มีภาวะนี้มีแนวโน้มซึมเศร้า นอนไม่หลับ และสมาธิสั้นเพิ่มขึ้น


ภาวะ “Nomophobia” — คำนี้อาจฟังดูไกลตัว แต่ลองถามตัวเองดูว่า… คุณเคยรู้สึกกระสับกระส่ายไหมเวลา “ลืมมือถือไว้ที่บ้าน”? หรือรู้สึกเหมือน “ใจหาย” แค่ตอนมือถือแบตใกล้หมด?

ถ้าใช่…คุณอาจไม่ได้แค่ติดมือถือ แต่กำลังอยู่ใน ภาวะ “Nomophobia” โดยไม่รู้ตัว ซึ่งย่อมาจาก No-Mobile-Phone Phobia หมายถึง “ภาวะหวาดกลัวเมื่อไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้ตัว” และนี่คือหนึ่งในโรคทางจิตใจของคนยุคดิจิทัลที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก

โรคกลัวไม่มีมือถือ

งานวิจัยจาก King’s College London พบว่า คนที่มี ภาวะ “Nomophobia” มีระดับความเครียดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30–40% มีแนวโน้ม นอนไม่หลับ, สมาธิสั้น, และภาวะซึมเศร้า มากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า

สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การใช้มือถือ…แต่คือการ “ไม่รู้ว่ามือถือกำลังใช้เรา”


ภาวะ “Nomophobia” คืออะไร?

โรคกลัวไม่มีมือถือ

โรคกลัวไม่มีมือถือ ที่กลายเป็นเรื่องปกติของคนยุคนี้

คำว่า “Nomophobia” ถูกใช้ครั้งแรกในปี 2008 โดยกระทรวงสื่อสารของสหราชอาณาจักร เพื่ออธิบายอาการวิตกกังวล เมื่อผู้คนรู้สึก “ขาดการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์” หรือ “ไม่มีมือถืออยู่ในมือ”

ในปัจจุบัน ภาวะ “Nomophobia” ถูกจัดเป็นหนึ่งใน “โรคทางจิตใจยุคเทคโนโลยี” หรือที่เรียกว่า Technostress ซึ่งเกิดจากการพึ่งพาเทคโนโลยีเกินขอบเขต

อาการที่พบบ่อยในผู้มีภาวะ “Nomophobia” ได้แก่:

  • เช็กมือถือทุก 3–5 นาที ทั้งที่ไม่มีการแจ้งเตือน
  • รู้สึกใจหวิวหรือหัวใจเต้นแรงเมื่อไม่ได้พกมือถือ
  • พกที่ชาร์จติดตัวทุกที่ แม้แค่ไปใกล้ ๆ
  • รู้สึกเหมือน “ขาดอะไรบางอย่าง” เมื่อปิดเครื่อง
  • นอนไม่หลับถ้าไม่ได้จับโทรศัพท์ก่อนนอน

สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่เมื่อเกิดซ้ำทุกวัน สมองจะเริ่มสร้างวงจรพฤติกรรมเสพติดโดยไม่รู้ตัว


สมองติด “การเชื่อมต่อ” ไม่ต่างจากติดสาร

โรคกลัวไม่มีมือถือ

ทุกครั้งที่เราได้รับการแจ้งเตือน ไม่ว่าจะเป็นไลก์ คอมเมนต์ หรือข้อความใหม่ สมองจะหลั่งสาร โดปามีน (Dopamine) — สารแห่งความสุขแบบเดียวกับเวลาที่กินของหวานหรือเล่นเกมชนะ

เมื่อสมองได้รับโดปามีนซ้ำ ๆ จากมือถือ มันจะเริ่มเรียกร้อง “ความสุขแบบด่วน” อยู่ตลอดเวลา ทำให้เราหยิบมือถือขึ้นมาบ่อยโดยไม่รู้ตัว แม้ไม่มีเหตุผล

นี่คือเหตุผลว่าทำไม ภาวะ “Nomophobia” ถึงใกล้เคียงกับภาวะ “เสพติดพฤติกรรม (Behavioral Addiction)” และอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดอาการวิตกกังวลหรือพานิค (Panic) เมื่อไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต


อาการของภาวะ “Nomophobia” ที่ไม่ควรมองข้าม

โรคกลัวไม่มีมือถือ

1. นอนไม่หลับ และหลับไม่ลึก

แสงฟ้าจากหน้าจอมือถือรบกวนการหลั่ง เมลาโทนิน (Melatonin) ทำให้ร่างกายสับสนว่า “ยังไม่ถึงเวลานอน” ส่งผลให้หลับยาก หลับไม่ลึก และตื่นมาไม่สดชื่น แม้จะนอนครบ 8 ชั่วโมง

2. สมาธิสั้น และจำอะไรได้น้อยลง

สมองที่ถูกกระตุ้นตลอดเวลาโดยการเลื่อนหน้าจอ จะสูญเสียความสามารถในการโฟกัส (Focus Fatigue) ผลคือ “จำได้น้อยลง คิดไม่เป็นระบบ” และเกิดภาวะที่เรียกว่า Digital Brain Fog

3. อารมณ์แปรปรวน เครียดง่าย

เมื่อสมองคุ้นชินกับการได้รับสิ่งกระตุ้นจากมือถือ การอยู่เงียบ ๆ โดยไม่มีโทรศัพท์ จะทำให้เกิดอาการ “ถอนความสุข” คล้ายกับการถอนสารเสพติด ทำให้หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล และไม่มีสมาธิ

4. ปวดตา ปวดคอ และปวดหัวเรื้อรัง

การใช้มือถือเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มความเสี่ยง กล้ามเนื้อคอหดเกร็ง และ อาการปวดหัวไมเกรน จากการจ้องหน้าจอนานเกินไป โดยเฉพาะในท่าก้มคอตลอดเวลา ซึ่งกดทับเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย


ภาวะ “Nomophobia” ส่งผลระยะยาวต่อสมองอย่างไร

โรคกลัวไม่มีมือถือ

สมองส่วนหน้าอ่อนแรงลง

สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) คือบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจ แต่การใช้มือถือบ่อยเกินไปทำให้สมองส่วนนี้ทำงานลดลง สมองจะเลือก “เสพข้อมูลสั้น” แทนที่จะ “คิดลึก” ส่งผลให้สมาธิสั้นและขาดแรงจูงใจในระยะยาว

ระบบฮอร์โมนความเครียดทำงานผิดปกติ

แสงและเสียงแจ้งเตือนมือถือกระตุ้นให้ร่างกายหลั่ง คอร์ติซอล (Cortisol) ตลอดเวลา ซึ่งทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันสูง และนอนไม่หลับในที่สุด

ความสัมพันธ์ลดลง คุณภาพชีวิตแย่ลง

ในเชิงจิตวิทยา ผู้ที่มีภาวะ “Nomophobia” มักหลีกเลี่ยงการสบตา พูดคุย หรืออยู่โดยไม่มีมือถือในมือ ซึ่งนำไปสู่การลดคุณภาพความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวโดยไม่รู้ตัว


วิธีฟื้นฟูสมองจากภาวะ “Nomophobia”

โรคกลัวไม่มีมือถือ

1. ตั้งเวลา “Digital Detox”

ลองเริ่มต้นด้วยการพักมือถือวันละ 30 นาที หรือเลือก 1 วันต่อสัปดาห์ที่ปิดแจ้งเตือนทั้งหมด เพื่อให้สมองได้พักจากข้อมูลและเสียงรบกวน

2. เปลี่ยนจาก “เช็กจอ” เป็น “เช็กใจ”

ทุกครั้งที่หยิบมือถือ ให้ถามตัวเองว่า “จำเป็นจริงไหม?” หรือแค่ต้องการหนีความเบื่อชั่วคราว เพราะการรู้เท่าทันอารมณ์ คือก้าวแรกของการฟื้นฟูสมดุลจิตใจ

3. ฝึกใช้สมาธิแทนการเลื่อนหน้าจอ

การทำสมาธิวันละ 10 นาทีช่วยให้สมองหลั่งโดปามีนอย่างเป็นธรรมชาติ ลดอาการติดมือถือได้ถึง 40% ภายใน 1 เดือน ตามรายงานจาก Mindfulness Journal

4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากมีอาการรุนแรง

หากคุณรู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิด หรือใจเต้นแรงทุกครั้งที่ไม่มีมือถือ ควรเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาคลินิก เพื่อประเมินระดับการพึ่งพาเทคโนโลยีและวางแนวทางบำบัดที่เหมาะสม


มือถือไม่ได้ผิด…แต่เราต้องรู้เท่าทัน

โรคกลัวไม่มีมือถือ

ภาวะ “Nomophobia” คือโรคที่ไม่ได้ฆ่าเราในทันที แต่มันกำลัง “กลืนเวลา ความสงบ และคุณภาพชีวิต” ของเราไปทีละน้อย

การวางมือถือไว้เฉย ๆ อาจรู้สึกยากในยุคที่โลกออนไลน์ไม่เคยหยุดหมุน แต่สุขภาพจิตของคุณมีค่ามากกว่า “การเชื่อมต่อที่ไม่สิ้นสุด”

The Touch Clinic แนะนำให้ดูแลทั้งสมอง ฮอร์โมน และสุขภาพการนอน เพราะสมองที่พักผ่อนได้ดี จะไม่ต้องพึ่งพาความสุขจากหน้าจอ

สุขภาพจิตดี เริ่มได้จากการวางมือถือ…แล้วพักใจให้เป็น 📱💙