ว่าด้วย…อาการปวดหลัง : รวมคำถามที่ไม่มีใครตอบ
Q&A ว่าด้วย…อาการปวดหลัง รวมมิตรคำถามที่ไม่มีใครตอบ
อาการปวดหลังเป็นปัญหายอดฮิตที่ทำให้ชีวิต “เสียสมดุล” แบบไม่รู้ตัว นั่งทำงานก็ทรมาน ลุกเดินก็เจ็บ นอนก็ไม่สบาย ตื่นมาก็ยังตึง ๆ
และที่น่าห่วงคือ หลายคนเลือก “แก้เร็ว” ด้วยการกินยา หรือยืดเส้นแบบเดา ๆ จนกลายเป็นวงจรปวดซ้ำ
บทความนี้รวมคำถามที่คนสงสัยที่สุด พร้อมเพิ่มความรู้แบบอ่านง่าย เพื่อให้คุณเข้าใจว่า ปวดหลังเกิดจากอะไร ควรระวังอะไร และรักษาให้ตรงจุดได้อย่างไร
ทำไมต้อง “ปวดหลัง”?
อาการปวดหลัง (Back Pain) เป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยมากในเวชปฏิบัติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องโครงสร้างร่างกาย พฤติกรรมการใช้งาน และระบบประสาท หรือความเครียด
ปวดหลังเกิดได้จากหลายระบบร่วมกัน เช่น:
- โครงสร้าง: กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ กระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก
- พฤติกรรมการใช้งาน: นั่งนาน ยกของผิดท่า ท่าทางไม่สมดุล
- ระบบประสาทและจิตใจ: ความเครียด วิตกกังวล นอนน้อย ทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง และระบบรับรู้ความเจ็บปวดไวขึ้น
สาเหตุทางการแพทย์ที่พบบ่อยของ “ปวดหลัง”
1) กล้ามเนื้ออักเสบหรือเกร็ง (Muscle Strain / Spasm)
มักเกิดจากใช้งานซ้ำ ๆ ยกของหนัก หรือนั่งท่าเดิมนานเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง หรืออักเสบเฉียบพลัน
2) หมอนรองกระดูกเสื่อมหรือปลิ้น (Disc Degeneration / Herniation)
พบบ่อยบริเวณเอว เช่น L4-L5, L5-S1 หากกดทับเส้นประสาทอาจมี ปวดร้าวลงขา ชา หรืออ่อนแรง
3) ข้อต่อกระดูกสันหลังทำงานผิดปกติ (Facet Joint Dysfunction)
เกิดจากการเสื่อมหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติของข้อ ทำให้ปวดลึกบริเวณกลางหลังหรือด้านข้าง
4) โครงสร้าง/ท่าทางผิดสมดุล (Postural Syndrome / Scoliosis)
หลังค่อม ไหล่งุ้ม กระดูกสันหลังเอียง ทำให้กล้ามเนื้อบางมัดทำงานหนักเกิน จนปวดเรื้อรัง
5) ปัจจัยจิตใจ–ระบบประสาท (Psychosomatic / Pain Sensitization)
เครียดสะสม วิตกกังวล นอนน้อย ส่งผลให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานไว กล้ามเนื้อเกร็งโดยไม่รู้ตัว และ “รู้สึกเจ็บง่ายขึ้น” แม้โครงสร้างไม่ได้เสียหายมาก
7 ปัจจัยที่ทำให้ปวดหลัง “มากขึ้น” แบบไม่รู้ตัว
1) ท่าทางผิด (Poor Posture)
นั่งหลังค่อม ยืนเอียง ยกของไม่ถูกวิธี → กล้ามเนื้อบางมัดแบกรับภาระหนักจนเกิดอักเสบเรื้อรัง
2) นั่งนาน–ขยับน้อย (Sedentary Lifestyle)
แกนกลางและสะโพกอ่อนแรง → หลังต้องรับภาระแทน
3) ความเครียดสะสม (Chronic Stress)
กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ หลังส่วนบน “เกร็งค้าง” โดยไม่รู้ตัว
4) ใช้งานหลังเกินกำลัง (Overuse)
ยกของหนัก ออกกำลังกายผิดท่า แบกของข้างเดียวบ่อย → เสี่ยงกล้ามเนื้อฉีก/หมอนรองกระดูกเคลื่อน
5) น้ำหนักตัวเกิน (Obesity)
เพิ่มแรงกดทับที่หลังส่วนล่าง เร่งการเสื่อมของข้อต่อและหมอนรองกระดูก
6) ที่นอน/หมอนไม่เหมาะ
แนวกระดูกบิดตัวตอนนอน ตื่นมาปวดคอ–หลังทั้งที่ไม่ได้ใช้งานหนัก
7) โรคประจำตัว/พันธุกรรม
เช่น กระดูกพรุน ข้ออักเสบเรื้อรัง หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็ว ทำให้หลัง “อ่อนแอเป็นพื้นฐาน”
“ปวดหลัง” = “กระดูกเสื่อม” จริงไหม?
ไม่เสมอไป
ปวดหลังอาจมาจากกล้ามเนื้อ พฤติกรรม หรือความเครียดได้ โดยไม่เกี่ยวกับกระดูกเสื่อมเลย
- ถ้าปวดเฉียบพลัน ไม่มีชา/ร้าวลงขา → มักเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ/พฤติกรรม
- ถ้าปวดเรื้อรัง + ชา/ร้าวลงขา → ควรประเมินเรื่องหมอนรองกระดูก/เส้นประสาท
ทางที่ดีคือ ประเมินโดยนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เพื่อหาต้นเหตุจริง
“ปวดหลังบ่อย” แปลว่า “ไตมีปัญหา” ไหม?
ไม่จริงเสมอไป
ส่วนใหญ่ปวดหลังมักมาจากกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ หรือพฤติกรรม แต่โรคไตที่ “อาจ” ทำให้ปวดหลังได้ เช่น:
- กรวยไตอักเสบ: ไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น/กลิ่นแรง
- นิ่วในไต: ปวดบีบเป็นพัก ๆ ร้าวไปหน้าท้อง/ขาหนีบ
- ซีสต์/เนื้องอกไต: ปวดตื้อร่วมกับอ่อนเพลีย น้ำหนักลด
หากปวดหลังร่วมกับ ปัสสาวะผิดปกติ ไข้ คลื่นไส้ หนาวสั่น ให้พบแพทย์เพื่อประเมินระบบทางเดินปัสสาวะ
ทำไม “ยืดเส้นทุกวัน” แต่ยังปวดหลัง?
เพราะยืดอย่างเดียวอาจไม่พอ และอาจไม่ตรงจุด
ปวดหลังไม่ได้เกิดจาก “ตึง” อย่างเดียว แต่อาจเป็น อ่อนแรง/ไม่สมดุล/ข้อต่อทำงานผิด ยืดผิดมุม → ยิ่งยืดยิ่งตึง หรือดึงกล้ามเนื้อชดเชยจนปวดซ้ำ
การยืดเพื่อการรักษาควรมี มุมที่ถูกต้อง + แรงต้าน + ระยะเวลาที่เหมาะสม และต้องทำควบคู่กับ ท่าทางการนั่ง การยกของ การนอน ไม่งั้นยืดแล้วก็กลับไปปวดเหมือนเดิม
ปวดหลังต้องนอน “ที่นอนแข็ง/พื้นแข็ง” จริงไหม?
หลักสำคัญคือ “แนวกระดูกสันหลังต้องสมดุล” (Spinal Alignment)
ที่นอนที่ดีไม่จำเป็นต้องแข็งเหมือนไม้กระดาน แต่ควร:
- ไม่ยุบจนหลังแอ่น/บั้นเอวลอย
- ไม่แข็งจนสะโพก-ไหล่ลอย ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งทั้งคืน
โดยทั่วไปความแน่นระดับ ปานกลางถึงแน่น (Medium–Firm) มักเหมาะกับหลายคน
เลือกตามท่านอน
- นอนตะแคง: ควรนุ่มพอให้ไหล่จมเล็กน้อย ลดแรงกด
- นอนหงาย: ควรแน่นขึ้นเพื่อพยุงหลังส่วนล่างไม่ให้แอ่น
ปวดหลังไม่ได้มีแค่วัยทำงาน ทุกช่วงวัยเสี่ยงได้
เด็ก–วัยรุ่น
กระเป๋าหนัก นั่งเรียนท่าเดิม ติดหน้าจอ หลังค่อม ไหล่งุ้ม หรือบางรายมีโครงสร้างผิดปกติแต่กำเนิด ถ้าปล่อยไว้ อาจเรื้อรังตั้งแต่อายุยังน้อย
วัยทำงาน
นั่งหน้าคอมนาน เครียดสะสม ขาดการออกกำลังกายที่ถูกต้อง พบมากสุด โดยเฉพาะหลังล่าง/หลังช่วงสะบัก
ผู้สูงอายุ
เสื่อมของหมอนรองกระดูก ข้อกระดูกสันหลังอักเสบ กระดูกพรุน กล้ามเนื้อพยุงตัวอ่อนแรง เสี่ยงร้าวลงขา เดินลำบาก
ปวดหลังรักษาได้กี่วิธี?
1) ดูแลตนเองเบื้องต้น (Self-care)
พักการใช้งาน ประคบร้อน/เย็น ปรับท่านั่ง ยืดเบา ๆ แบบถูกต้อง
2) การใช้ยา (Medication)
ช่วยคุมอาการระยะเฉียบพลัน เช่น NSAIDs / ยาคลายกล้ามเนื้อ / ยาปวดปลายประสาท (บางกรณี) ข้อควรระวัง : ใช้ยาบ่อยอาจทำให้ “พึ่งยา” และไม่แก้ต้นเหตุ บางคนกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงได้
3) กายภาพบำบัด (Physical Therapy)
เหมาะมากสำหรับอาการปวดซ้ำ/เรื้อรัง ข้อดี : เน้นรักษาต้นเหตุ ไม่ใช่แค่ระงับอาการ
4) ฉีดยาเฉพาะที่ (Injection Therapy)
ใช้ในรายเฉพาะ เช่น กดทับเส้นประสาท/อักเสบเฉพาะจุด และต้องประเมินเหมาะสม
5) ผ่าตัด (Surgical Treatment)
เฉพาะรายรุนแรง เช่น ชาอ่อนแรงมาก เดินไม่ได้ กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือโครงสร้างผิดรูปชัดเจน
ปวดหลังแบบไหนไม่ควรปล่อยไว้ รีบพบแพทย์ด่วน
- ปวดร้าวลงขา ชา อ่อนแรงมากขึ้น
- ปวดหลังร่วมกับไข้ หนาวสั่น น้ำหนักลดผิดปกติ
- กลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่ได้ หรือชาบริเวณก้น/อวัยวะเพศ
- ปวดรุนแรงหลังอุบัติเหตุ หกล้ม
- ปวดเรื้อรังเกิน 2–4 สัปดาห์ แม้ปรับพฤติกรรมแล้วไม่ดีขึ้น
อย่าปล่อยให้ “ปวดหลัง” เป็นอุปสรรคของชีวิต
ปวดหลังรักษาได้หลายวิธี แต่หัวใจคือ “ประเมินให้แม่น → รักษาให้ตรงจุด → ปรับพฤติกรรมให้ยั่งยืน”
ยืดเส้นอย่างเดียวหรือกินยาอย่างเดียว อาจทำให้ดีขึ้นชั่วคราว แต่ถ้าต้นเหตุยังอยู่… ความเจ็บก็พร้อมกลับมาเสมอ




